แท้จริงแล้ว ต้นไม้ มีความสัมพันธ์แบบป้าข้างบ้าน ขยันปล่อย Fake news หากัน
แท้จริงแล้ว ต้นไม้ มีความสัมพันธ์แบบป้าข้างบ้าน ขยันปล่อย Fake news หากัน
นักวิทยาศาสตร์ เสนอว่า พืชมักแจ้งเตือนภัยอันตรายแบบปลอม ๆ ให้กับเพื่อนบ้านของตัวเอง เพื่อความอยู่รอด เหมือนตัดกำลังคู่แข่งในสนามรบ ชวนอ่านมุมคิดด้านวิวัฒนาการ และชวนดูว่าพืชสื่อสารกันอย่างไร “ออกไป” “ผลไม้ของฉันสุกแล้ว” “ช่วยที” “ระวังนะ” เหล่านี้คือคำพูดของพืชที่นักวิทยาศาสตร์ตรวจวัดได้จากเสียง “อัลตราโซนิก” (Ultrasonic) ซึ่งส่งหากันเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น เมื่อได้รับบาดเจ็บ
พืชปล่อย fake news เพื่อความอยู่รอด จริงหรือ ?แทนที่จะเตือนหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น ต้นไม้ หรือพืชพรรณกลับซ่อนสัญญาณที่สื่อถึงภัยอันตรายต่อกัน ทั้งยังโกหกเกี่ยวกับอันตรายที่ไม่มีอยู่จริงด้วย พูดให้เข้่าใจง่าย ๆ คือ เมื่อพืชรู้ว่าจะเกิดอันตราย พืชจะมีปฏิกิริยาบางอย่าง เช่น หลั่งสารพิษป้องกันตัวเอง ฯลฯ โทมัส สก็อต นักทฤษฎีวิวัฒนาการจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ผู้เขียนงานวิจัยชิ้นนี้ อธิบายว่า “พืชจะได้ประโยชน์มากกว่าจากการส่งสัญญาณที่ไม่จริงออกไป ผลการศึกษาสะท้อนว่าพืชมีแนวโน้มที่จะหลอกลวงเพื่อนบ้าน มากกว่าแจ้งข่าวไปตามความจริง”
Credit Reuters
อย่างที่ 2 คือ การช่วยเหลือเกื้อกูลกันดังที่ว่านี้ ไม่สอดคล้องเกี่ยวโยงไปกับทฤษฎีวิวัฒนาการ เพราะพืชนั้นต้องแก่งแย่งกันเองเพื่อแสงแดด และสารอาหาร ด้วยเหตุผลนี้ มึงก็ make sense ในแง่ที่ว่าพืชต้องโกหกให้พืชเพื่อนบ้านสูญเสียทรัพยากรในการป้องกันตัวเองไปฟรี ๆ แม้จะไม่มีภัยอะไรเกิดขึ้นเลยก็ตาม ต้นไม้สื่อสารถึงกันได้ข้อมูลจากโลกวิทยาศาสตร์พร่ำสอนกันในตำราว่า พืชสามารถสื่อสารหากันได้ผ่านเครือต้นไม้-เชื้อราใต้ดิน มีชื่อเรียกว่า mycorrhizal network ให้นึกภาพว่าเป็นสายสัญญาณที่เชื่อมโยงกันทั้งป่า โดยมีต้นไม้ใหญ่เป็นศูนย์กลาง
Credit Loreto Oyarte Galvez
พลิกไปดูงานวิจัยของ Society for the Protection of Underground Networks (SPUN) ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ประมาณ 80% ถึง 90% ของสายพันธุ์พืชทั้งหมดเชื่อมต่อกับเครือข่ายไมคอร์ไรซา มีการอธิบายเอาไว้ให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่า ต้นไม้ใหญ่นั้นจะทำหน้าที่ส่งสารอาหารไปยังกล้าไม้ให้เติบโตแข็งแรง จับมือกันไปแบบนี้ทั้งป่า ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง เหตุฉะนี้ ถึงมีการพูดกันว่าเรื่องเกิดในป่า ย่อมรู้กันทั้งป่า เพราะมันมีเน็ตเวิร์กทำนองนี้อยู่นั่นเอง
ที่มา: Live Science |